Fire Alarm System คืออะไร? เลือกแบบไหนดีสำหรับอาคาร

1. การตรวจจับ (Fire Detection System) อุปกรณ์ตรวจจับ ควันไฟ, ความร้อน, เปลวไฟ ตรวจสอบสภาพแวดล้อม หากพบค่าผิดปกติ ระบบจะแจ้งเตือนทันที
2. การแจ้งเตือน (Fire Alarm Notification) เมื่อระบบตรวจพบเหตุเพลิงไหม้ จะมีการแจ้งเตือนผ่าน เสียงไซเรน, ไฟกระพริบ, ระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ ไปยังศูนย์ควบคุม
3. การแจ้งเตือนหน่วยดับเพลิง (Fire Emergency Communication) ระบบสามารถส่งสัญญาณแจ้งไปยัง เจ้าหน้าที่ดับเพลิง หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น
4. การควบคุมและระงับเพลิง (Fire Suppression System) หากเชื่อมต่อกับ Fire Suppression System เช่น สปริงเกอร์น้ำ, ระบบดับเพลิง CO2 ระบบจะทำงานอัตโนมัติเพื่อควบคุมเพลิงทันที

ประเภทของ Fire Alarm System
Fire Alarm System มี 2 ประเภทหลัก ได้แก่:

1. Conventional Fire Alarm System (ระบบแจ้งเตือนเพลิงไหม้แบบโซน)

• ระบบแบบดั้งเดิม แบ่งอาคารออกเป็นโซน (Fire Alarm Zone) เมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ จะแจ้งเตือนเฉพาะโซนที่ตรวจพบเหตุการณ์
• ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับอาคารขนาดเล็กถึงกลาง เช่น สำนักงาน, ร้านค้า, อาคารพาณิชย์
• ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าแบบ Addressable แต่ไม่สามารถระบุจุดเกิดเหตุที่แน่ชัดได้

• ระบบที่สามารถระบุตำแหน่งของจุดที่เกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ (Fire Alarm Addressable System)
• มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ตรวจจับทั้งหมดเข้ากับแผงควบคุมแบบดิจิทัล
• เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่ เช่น โรงแรม, โรงงานอุตสาหกรรม, ห้างสรรพสินค้า
• ค่าใช้จ่ายสูงกว่า Conventional แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการจัดการเหตุการณ์

• บ้านพักอาศัย / คอนโดขนาดเล็ก ใช้ระบบ Conventional Fire Alarm System ที่มี Smoke Detector, Heat Detector ติดตั้งในจุดสำคัญ เช่น ห้องครัว และโถงทางเดิน
• สำนักงาน / อาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก Conventional Fire Alarm System เพียงพอสำหรับแจ้งเตือนเหตุการณ์ภายในโซนเดียวกัน
• โรงงานอุตสาหกรรม / โรงแรม / อาคารสูง ควรเลือก Addressable Fire Alarm System เพื่อให้สามารถระบุจุดที่เกิดเพลิงไหม้ได้อย่างรวดเร็ว และควบคุมอุปกรณ์แจ้งเตือนได้แบบเรียลไทม์
• ห้างสรรพสินค้า / สนามบิน / โรงพยาบาล ต้องใช้ Addressable Fire Alarm System ที่สามารถเชื่อมต่อกับ Fire Suppression System เช่น สปริงเกอร์, ระบบก๊าซ CO2, ระบบควบคุมควันไฟ (Smoke Management System)